วัดตะไกร
วัดตะไกร*(วัดกะไตร) [๑] สภาพปัจจุบันเป็นวัดร้าง ส่วนใครเป็นผู้สร้างวัดนี้นั้นยังไม่พบหลักฐาน โดยทั่วไปแล้วผู้ที่จะสร้างวัดก็มีแต่พระราชาธิบดี ขุนนางผู้ใหญ่แลคหบดีผู้มีทรัพย์เท่านั้น ได้ค้นในทำเนียบวัด (พระอารามหลวง) ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่าไม่พบชื่อวัดตะไกร จึงทำให้คิดว่าน่าจะเป็นเพียงวัดราษฎร์ วัดตะไกรมีพื้นที่โบราณสถานประมาณ ๒๕ ไร่เศษ ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองสระบัว อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากฝั่งตะวันตกของคลองสระบัวประมาณ ๑๐๐ เมตร และห่างจากวัดหน้าพระเมรุไปทางทิศเหนือประมาณ ๓๐๐ เมตรเศษ
จากหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓ ตอนว่าด้วยแผนที่กรุงศรีอยุธยา ฉบับพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระยาโบราณราชธานินทร์ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ หน้า ๑๖๖ - ๑๖๗ ได้กล่าวถึงตลาดบกนอกกรุงว่า ที่หน้าวัดตะไกรเป็นตลาดลงท่าน้ำที่หน้าวัดพระเมรุแห่งหนึ่ง ในจำนวนตลาดนอกกรุงซึ่งมีอยู่ถึง ๒๓ แห่ง ประกอบกับหลักฐานทางด้านวรรณคดีเรื่อง “เสภาขุนช้างขุนแผน” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ได้ทรงสันนิษฐานโดยอาศัยพงศาวดารและคำให้การชาวกรุงเก่าไว้ว่า มีเค้ามาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ คือ ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔ ถึง พ.ศ. ๒๐๗๒ ได้กล่าวถึงความสำคัญของวัดตะไกรไว้ดังนี้
“ครานั้นสายทองผู้เป็นพี่ ครั้นฟื้นสมประดีขึ้นมาได้
คิดถึงน้องน้อยละห้อยใจ น้ำตาไหลหลั่งละลุมลง
จึงอำลาศรีประจันแล้วครรไล ลงเรือร่ำไห้อาลัยหลง
มาถึงกรุงไกรด้วยใจจง ตรงไปบ้านขุนแผนผู้แว่นไว
ครั้นถึงเข้าไปที่ในห้อง ถามว่าศพวันทองน้องอยู่ไหน
ขุนแผนบอกว่าฝังวัดตะไกร แล้วให้คนนำไปโดยฉับพลัน”
เรื่องราวในบทเสภานี้ได้กล่าวอ้างถึงวัดตะไกรว่า เป็นที่ฝังและทำฌาปนกิจศพของนางวันทอง ผู้ต้องคำพิพากษาถึงประหารชีวิต แล้วนำศพไปฝังยังวัดตะไกร ดังจะเห็นได้จากบทเสภาดังกล่าวอีกตอนหนึ่งที่ว่า
“ครั้นถึงจึงแวะวัดตะไกร จอดเรือเข้าไว้ที่ตีนท่า”
อันเป็นตอนที่ขุนช้างได้ทราบข่าวว่า ได้จัดทำศพนางวันทองที่วัดตระไกร จึงได้เตรียมผ้าไตรและเครื่องไทยทานไปร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่นางวันทอง
เรื่องพระพันวษา ขุนแผน วัดตะไกร เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและมีจริง ขุนแผนได้เป็นแม่ทัพไปทำศึกกับเชียงใหม่และได้ชัยชนะจึงมีชื่อเสียงและเป็นคนสำคัญ เรื่องการทำศึกกับหัวเมืองเชียงใหม่ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระพันวษา) นี้พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ได้บันทึกไว้ว่า
“ศักราช ๘๗๗ กุนศก (พ.ศ ๒๐๕๘) วัน ๓ ๑๕ ๑๑ ค่ำ เพลารุ่งแล้ว ๘ ชั้น ๓ ฤกษ์ ๙ ฤกษ์ สมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จยกทัพหลวงไปตีได้เมืองน (คร) ฯ ลำ (ภารได้) เมือง” หลังจากที่สมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จยกทัพหลวงไปตีได้เมืองลำปางแล้วพวกเชียงใหม่ก็ไม่ลงมาทำอะไรวุ่นวายอีก ทีนี้กล่าวถึงเรื่องการประหารชีวิตนางวันทองบ้างว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ข้อนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงสันนิษฐานไว้ว่า นางวันทองต้องโทษประหารก่อน ส่วนขุนแผนนั้นต้องโทษจำคุกในฐานที่ฆ่าข้าหลวง ต่อมาเกิดศึกเชียงใหม่ จมื่นศรีฯ พยายามทูลยกย่องขุนแผน ขุนแผนจึงพ้นโทษด้วยจะให้ไปทำศึก ในระยะเวลาที่พูดถึงนี้ ซึ่งวัดตะไกรมีอยู่แล้ว จึงน่าสันนิษฐานว่าวัดตะไกรนี้ต้องสร้างก่อนปี ๒๐๕๘ อันเป็นปีที่เสร็จศึกเชียงใหม่
นอกจากนี้ถ้าพิจารณาจากสิ่งก่อสร้าง อันเป็นหลักของวัดที่ปรากฏอยู่และโบราณวัตถุล้วนเป็นของที่ทำขึ้นในสมัยอยุธยายุคที่ ๒ [๒] เป็นส่วนใหญ่ คือ เป็นของที่สร้างในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ขึ้นมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๐๐๖ ถึง พ.ศ. ๒๑๗๐) กล่าวคือ เจดีย์หลักของวัดและเจดีย์รายเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะและแบบการก่อสร้างเหมือนกันทั้งสิ้น เป็นเจดีย์ฐานต่ำบัวฐานเป็นแปดเหลี่ยม องค์ระฆังสูงแบบเจดีย์ลังกา จัดเป็นเจดีย์ยุคที่ ๒ อันเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างกันในสมัยกรุงศรีอยุธยา สำหรับพระพุทธรูปประธานในวิหารและอุโบสถ เป็นแบบพระพุทธรูปสมัยอยุธยารุ่นที่ ๒ มีอิทธิพลสุโขทัยเจือปนอยู่มาก เช่น พระพักตร์รูปไข่หรือผลมะะตูม ผ้าสังฆาฏิปลายเขี้ยวตะขาบ เป็นต้น จากการสำรวจวัดตะไกรเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๔ หาได้ปรากฏร่องรอยของพระพุทธรูปที่กล่าวข้างต้นนี้ไม่
เหตุผลทั้งสองประการนี้ ทำให้น่าเชื่อได้ว่าวัดตะไกรคงสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๐๐๖ ถึง พ.ศ. ๒๑๗๐ [๓]
พุทธศักราช ๒๕๔๒ กรมศิลปากร ได้ดำเนินการขุดแต่งบูรณะและปรับปรุงสภาพแวดล้อมโบราณสถานกลุ่มคลองสระบัว วัดตะไกรซึ่งเป็นวัดหนึ่งในกลุ่มโบราณสถานดังกล่าวก็ได้รับการขุดแต่งในครั้งนี้ด้วย สภาพก่อนการขุดแต่งนั้นมีสภาพรกร้างเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นและวัชพืชปกคลุมโบราณสถาน มีเศษอิฐหักและดินทับถมสูง โบราณสถานบางหลังไม่ทราบลักษณะและขอบเขตที่ชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีโบราณสถานจำนวนหนึ่งที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ได้แก่ เจดีย์ประธาน วิหาร เจดีย์ทรงปรางค์ เจดียราย อุโบสถ กำแพงแก้ว กำแพงวัดและสระน้ำ เป็นต้น
ภายหลังการขุดแต่ง พบว่า วัดตะไกรประกอบด้วยพื้นที่เขตพุทธาวาสและสังฆาวาส สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น และเป็นวัดสืบเนื่องมาจนถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ทิ้งร้างไปชั่วระยะหนึ่ง ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ และมีผู้คนมาใช้พื้นที่อีกในช่วงรัตนโกสินทร์ ประมาณรัชกาลที่ ๔ - ๕ เรื่อยมา จนถูกทิ้งร้างอีกครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่สิบปีมานี่เอง ทำให้พบร่องรอยของการบูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมในภายหลัง นักโบราณคดีแบ่งการสร้างวัดตระไกรเป็น ๓ สมัย ได้แก่ สมัยที่ ๑ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ สมัยที่ ๒ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ และสมัยที่ ๓ พุทธศตวรรษที่ ๒๓ - ๒๔
โบราณสถานที่สำคัญ
๑. เจดีย์ประธาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกลุ่มโบราณสถาน เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมตั้งบนฐานเขียงสี่เหลี่ยม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๗.๔ เมตร ความสูงปัจจุบันประมาณ ๑๗ เมตร ก่ออิฐสอปูน แต่แกนเจดีย์ไม่สอปูน จากการขุดแต่งพบว่าเจดีย์ประธานมีการสร้าง ๒ สมัย องค์ที่เห็นปัจจุบันเป็นเจดีย์สมัยที่ ๒ ซึ่งสร้างพอกทับฐานเขียงแปดเหลี่ยมด้วยฐานเขียงสี่เหลี่ยม ฐานนี้เชื่อมเจดีย์ประธานกับวิหารเข้าด้วยกัน และมีการพอกทับฐานบัวลูกฟัก ๒ ฐานล่างให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
๒. วิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเจดีย์ประธาน วิหารก่ออิฐสอปูน สภาพพังทลายเหลือเฉพาะส่วนฐานและแนวผนังเล็กน้อย ขนาดวิหารกว้างประมาณ ๑๒ เมตร ยาวประมาณ ๒๖ เมตร มีมุขหน้า – หลัง มุขหลังสร้างบนฐานเขียงสี่เหลี่ยมที่เชื่อมเจดีย์ประธานกับวิหาร มีพาไล ๒ ข้าง ร่องรอยผนังแสดงให้เห็นว่าใช้ช่องแสงแทนช่องหน้าต่าง ประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออก ๓ ประตู ภายในมีเสาแปดเหลี่ยม มีฐานชุกชีติดผนังด้านทิศตะวันตก จากการขุดแต่งพบแนวอิฐมีทั้งหมด ๓ สมัย สมัยแรกเมื่อแรกสร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ อยู่ล่างสุด ต่อมาคงรื้อและสร้างใหม่บริเวณที่เดิม น่าจะราวสมัยอยุธยาตอนกลาง เนื่องจากการทำช่องแสงที่ผนัง และการทำพาไลด้านข้างเพื่อรองรับชายคาปีกนก ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนต้น – อยุธยาตอนกลาง วิหารนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยต่อมา เนื่องจากพบหลักฐานว่ามีการสร้างมุขหลังบนฐานไพที และปรับเปลี่ยนฐานชุกชีใหม่
๓. กำแพงแก้ว เป็นกำแพงล้อมรอบเขตพุทธาวาส สภาพทั่วไปชำรุดหักพังมาก บางช่วงเหลือเพียงส่วนฐาน ขนาดกว้างประมาณ ๓๕ เมตร ยาวประมาณ ๕๘ เมตร ลักษณะกำแพงก่ออิฐขึ้นมาตรงๆ ไม่มีบัวคว่ำที่ด้านล่าง บริเวณส่วนบนจะถากอิฐเป็นอกไก่เพื่อโบกปูนให้เป็นปากแล ถัดขึ้นไปเป็นบัวหงายหน้ากระดานบนและสันกำแพง ไม่มีใบเสมาดินเผา หรือโคมไฟประดับ ที่มุมทั้ง ๔ ประดับด้วยเสาหัวเม็ด เสาหัวเม็ด ๒ ต้นทางด้านหน้าวัดทำย่อมุม ๑๒ มุม ในขณะที่ด้านหลังไม่ย่อมุม มีซุ้มประตูทางทิศตะวันออกและทิศใต้ ด้านละ ๑ ประตู สภาพหักพังไม่เหลือส่วนยอดให้เห็น จากการขุดแต่งพบว่ากำแพงแก้วสร้างในสมัยแรกสร้างวัด
๔. เจดีย์ราย อยู่ภายในกำแพงแก้วของวิหาร ตั้งเรียงรายเริ่มจากบริเวณด้านทิศใต้ของเจดีย์ประธานและรอบวิหาร ตั้งในระยะใกล้ชิดกันมาก จำนวน ๑๖ องค์ เป็นเจดีย์ก่ออิฐสอปูน ส่วนใหญ่สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น และก่อสร้างเพิ่มเติมในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย รวมทั้งก่อพอกทับอีกด้วย เจดีย์ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชำรุดหักพังเหลือเพียงฐาน มีเพียงไม่กี่องค์ที่อยู่ในสภาพค่อนข้างเห็นลักษณะทางศิลปกรรมชัดเจน ได้แก่ เจดีย์หมายเลข ๗ และหมายเลข ๑๖ รายละเอียดแต่ละองค์ มีดังนี้
เจดีย์รายหมายเลข ๑ นับจากทางทิศใต้ของเจดีย์ประธาน เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓.๒ เมตร ก่ออิฐสอปูน สภาพชำรุดหักพังเหลือเพียงฐานบัวลูกแก้วอกไก่ชั้นล่างสุด พบว่ามีการสร้างทับกัน ๒ สมัย กล่าวคือสมัยแรกสร้างวัดในสมัยอยุธยาตอนต้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และสมัยที่ ๒ น่าจะราวสมัยอยุธยาตอนปลาย ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เนื่องจากเจดีย์แปดเหลี่ยมที่ทำฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ๑ เส้น รองรับองค์ระฆังซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เจดีย์รายหมายเลข ๒ อยู่ห่างจากเจดีย์รายหมายเลข ๑ มาทางทิศตะวันออกประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ก่ออิฐสอปูน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ เมตร สภาพชำรุดเหลือเพียงฐานเขียงและบางส่วนของฐานบัวลูกฟักชั้นล่างสุด น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนต้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และมีการก่อพอกทับในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ หรือสมัยอยุธยาตอนปลาย
เจดีย์รายหมายเลข ๓ อยู่ห่างจากเจดีย์รายหมายเลข ๒ มาทางทิศตะวันออกประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ก่ออิฐสอปูน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๗ เมตร สภาพชำรุดหักพังเหลือเพียงฐานเขียงและบางส่วนของฐานบัวลูกฟัก ๒ เส้น มีร่องรอยการก่อสร้าง ๒ สมัย คือ สมัยอยุธยาตอนต้น และก่อพอกทับสมัยอยุธยาตอนปลาย
เจดีย์รายหมายเลข ๔ อยู่ถัดจากเจดีย์รายหมายเลข ๓ มาทางทิศตะวันออกประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ก่ออิฐสอปูน สภาพชำรุดเหลือเฉพาะส่วนฐานเขียงและฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ๑ เส้น มีร่องรอยการก่อสร้าง ๒ สมัย ได้แก่สมัยอยุธยาตอนต้น และสมัยอยุธยาตอนปลาย
เจดีย์รายหมายเลข ๕ อยู่ถัดจากเจดีย์รายหมายเลข ๔ มาทางทิศตะวันออกประมาณ ๔๐ เซนติเมตร เป็นเจดีย์ก่ออิฐสอปูน มีร่องรอยการสร้าง ๒ สมัยเช่นเดียวกัน ได้แก่สมัยอยุธยาตอนต้น และสมัยอยุธยาตอนปลาย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๗ เมตร สภาพชำรุดเหลือเพียงฐานเขียงและฐานบัวลูกฟัก ๒ เส้น ในผังแปดเหลี่ยม ปูนฉาบค่อนข้างสมบูรณ์ มีการพอกขยายส่วนฐานเขียงของเจดีย์ออกมาด้วย ส่วนใหญ่หลุดร่วงเหลือให้เห็นบางส่วน
เจดีย์รายหมายเลข ๖ อยู่ถัดจากเจดีย์รายหมายเลข ๕ ประมาณ ๒๕ เซนติเมตร เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม ก่ออิฐสอปูน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๗ เมตร สภาพชำรุดเหลือเฉพาะฐานเขียงและฐานบัวชั้นล่างสุด กำหนดอายุในสมัยอยุธยาตอนต้น ไม่พบร่อยรอยการก่อพอกทับในสมัยหลัง
เจดีย์รายหมายเลข ๗ อยู่ถัดมาทางทิศตะวันออกของเจดีย์รายหมายเลข ๖ ประมาณ ๓๐ เซนติเมตร มีการก่อสร้าง ๒ สมัย ได้แก่สมัยอยุธยาตอนต้น และสมัยอยุธยาตอนปลาย สภาพค่อนข้างสมบูรณ์กว่าเจดีย์รายองค์อื่นๆ ปูนฉาบค่อนข้างสมบูรณ์
เจดีย์รายหมายเลข ๘ อยู่ถัดมาจากเจดีย์รายหมายเลข ๗ ทางทิศตะวันออกประมาณ ๓๐ เซนติเมตร สภาพเจดีย์ชำรุดมากเหลือเพียงฐานเขียงและฐานบัว ปูนฉาบหลุดร่วงเกือบหมด น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลาง และมีการก่อพอกในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เจดีย์รายหมายเลข ๙ อยู่ถัดมาจากเจดีย์รายหมายเลข ๘ ประมาณ ๓๐ เซนติเมตร สภาพเหลือเฉพาะฐานเขียงและหน้ากระดานล่างและบัวคว่ำของฐานชั้นล่างสุด ทั้งหมดอยู่ในผังแปดเหลี่ยม องค์เจดีย์ก่อกลวงข้างในเป็นโพรง แนวอิฐทางด้านทิศใต้ถูกรื้อทำลายเป็นโพรงขนาดใหญ่ น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลาง
เจดีย์รายหมายเลข ๑๐ อยู่ห่างจากเจดีย์รายหมายเลข ๙ ประมาณ ๓๐ เซนติเมตร สภาพเหลือเพียงฐานเขียงและบางส่วนของฐานบัวล่างสุด ทั้งหมดอยู่ในผังแปดเหลี่ยม น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลางและก่อพอกในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เจดีย์รายหมายเลข ๑๑ ห่างจากเจดีย์รายหมายเลข ๑๐ ประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒.๘ เมตร เหลือเพียงฐานเขียงในผังแปดเหลี่ยมชั้นล่างสุด น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลางและก่อพอกในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เจดีย์รายหมายเลข ๑๒ ห่างจากเจดีย์รายหมายเลข ๑๑ ประมาณ ๓๐ เซนติเมตร เป็นเจดีย์ทรงกลมบนฐานแปดเหลี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒.๘ เมตร สภาพหักพังเหลือเฉพาะฐานเขียงแปดเหลี่ยม รองรับเจดีย์ทรงกลม น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย พร้อมๆ กับการก่อพอกเจดีย์รายองค์อื่นๆ
เจดีย์รายหมายเลข ๑๓ เจดีย์นี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวิหาร ก่ออิฐสอปูน เป็นเจดีย์ทรงกลมบนฐานแปดเหลี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๕ เมตร สภาพชำรุดเหลือเฉพาะฐานเขียงแปดเหลี่ยมรองรับองค์เจดีย์ น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลายพร้อมๆ กับการก่อพอกเจดีย์รายอื่นๆ
เจดีย์รายหมายเลข ๑๔ อยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือของวิหาร ประมาณ ๓ เมตร เป็นเจดีย์ทรงกลมบนฐานแปดเหลี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔.๔ เมตร สภาพชำรุดเหลือเพียงฐานเฉพาะส่วนใต้องค์ระฆัง ไม่พบร่องรอยการก่อพอกในสมัยหลัง น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย พร้อมๆ กับการก่อพอกเจดีย์รายองค์อื่นๆ
เจดีย์รายหมายเลข ๑๕ ห่างจากเจดีย์รายหมายเลข ๑๔ มาทางทิศตะวันตก ประมาณ ๘ เมตร เป็นเจดีย์ทรงกลมบนฐานแปดเหลี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔.๔ เมตร ก่ออิฐถือปูนข้างในก่อตัน สภาพชำรุดมาก น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย พร้อมๆ กับการก่อพอกเจดีย์รายองค์อื่นๆ
เจดีย์รายหมายเลข ๑๖ เป็นเจดีย์ทรงปรางค์ ตั้งอยู่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกำแพงแก้ว สภาพชำรุดหักพัง ยอดปรางค์หักหาย องค์เจดีย์เอนมาทางทิศใต้ รูปแบบปรางค์เป็นแบบอยุธยาตอนปลาย
๕. สระน้ำ นอกกำแพงแก้ววิหารด้านทิศตะวันออกมีสระน้ำจำนวน ๒ สระ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ๑ สระ ขนาดกว้างประมาณ ๑๒ เมตร ยาวประมาณ ๑๓ เมตร ขอบสระทั้ง ๔ ด้านก่อด้วยอิฐไม่สอปูน อีกสระหนึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ สระนี้มีขนาดใหญ่กว่า กว้างประมาณ ๑๙ เมตร ขอบสระทั้ง ๔ ด้านก่อด้วยอิฐไม่สอปูนเช่นเดียวกัน น่าจะสร้างเมื่อสมัยแรกสร้างวัดในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑
๖. อาคารด้านทิศใต้ของเขตพุทธาวาส ทางทิศใต้ห่างจากกำแพงแก้ววิหารประมาณ ๓ เมตร มีอาคารขนาดกว้างประมาณ ๕ เมตร ยาวประมาณ ๘ เมตร ก่ออิฐสอปูน สภาพชำรุดมากเหลือเพียงฐาน น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนกลาง
๗. อาคารด้านทิศเหนือของเจดีย์ประธาน ทางทิศเหนือของเจดีย์ประธาน มีอาคารก่ออิฐสอปูนขนาดกว้างประมาณ ๔.๔ เมตร ยาวประมาณ ๕ เมตร สภาพชำรุดมากเหลือเฉพาะส่วนฐาน กำหนดอายุน่าจะอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
๘. อาคารด้านทิศตะวันออกของสระน้ำ ทางทิศตะวันออกของสระน้ำ มีอาคารก่ออิฐสอปูนขนาดกว้างประมาณ ๘.๔ เมตร ยาวประมาณ ๑๓ เมตร มีบันไดด้านทิศใต้ สภาพเหลือเพียงเฉพาะส่วนฐาน กำหนดอายุน่าจะอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
๙. อุโบสถ อยู่ห่างจากสระน้ำมาทางทิศใต้ประมาณ ๑๐ เมตร สภาพชำรุดหักพัง หลังคาพังทลาย อิฐและปูนฉาบบางบริเวณหลุดร่วง จากลักษณะทางสถาปัตยกรรม สันนิษฐานได้ว่า น่าจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลายเนื่องจากรูปแบบเหมือนอุโบสถสมัยอยุธยาตอนปลายโดยทั่วไป การใช้ช่องหน้าต่างแทนช่องแสง ลวดลายที่ใช้ประดับ และลักษณะใบเสมา เป็นต้น
อุโบสถก่อด้วยอิฐสอปูน ขนาดกว้างประมาณ ๑๒ เมตร ยาวประมาณ ๑๖ เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีระเบียงทั้ง ๔ ด้าน ประตูทางเข้าอยู่ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกด้านละ ๒ ประตู ผนังด้านทิศเหนือและทิศใต้มีหน้าต่างด้านละ ๒ บาน มีเสาติดผนัง ๖ ต้น ด้านในอุโบสถมีเสารอบรับโครงหลังคา ๘ ต้น ตรงกลางยกพื้นให้สูงขึ้นประมาณ ๒๐ เซนติเมตร เพื่อเป็นอาสน์สงฆ์ ซึ่งจากการขุดตรวจพบว่าอาสน์สงฆ์นี้ทำขึ้นภายหลัง ด้านล่างของผนังทำเป็นฐานบัวลูกแล้วอกไก่ ด้านหลังติดแนวผนังด้านทิศตะวันตกมีบริเวณฐานชุกชี จากการขุดแต่งพบว่าหลังคามุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วย รอบๆ มีฐานใบเสมาโดยรอบทั้ง ๘ ทิศ
อุโบสถล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว กว้างประมาณ ๒๓ เมตร ยาวประมาณ ๓๐ เมตร มีซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก แนวกำแพงแก้วนี้ชำรุดและถูกรื้อทำลายเป็นส่วนมาก เหลือให้เห็นชัดเจนบางช่วงด้านทิศใต้
๑๐. กำแพงวัด ล้อมรอบวัดทั้ง ๔ ด้าน แนวกำแพงก่ออิฐสอปูน ขนาดกว้างประมาณ ๘๔ เมตร ยาวประมาณ ๑๓๕ เมตร เหลือเพียงส่วนฐานของกำแพง และซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก ๒ ซุ้ม ด้านอื่นคงถูกทำลายไปแล้ว สันนิษฐานว่าน่าจะมีซุ้มประตูด้านทิศตะวันตกอีก ๒ ซุ้ม ทิศเหนือและทิศใต้อีก ๑ ซุ้ม กำหนดอายุการสร้างน่าจะอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ - ๒๔
นอกจากโบราณสถานที่กล่าวมายังพบฐานสิ่งก่อสร้างอีกหลายแห่ง อาทิ บริเวณแนวกำแพงแก้วเขตพุทธาวาส บริเวณเขตสังฆาวาสและแนวกำแพงแก้วรอบอุโบสถ สภาพชำรุดเหลือเพียงฐาน กำหนดอายุการสร้างน่าจะอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จากลักษณะทางสถาปัตยกรรม สันนิษฐานว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไม่น่าจะมีหลังคาคลุม อาจเป็นเพียงแท่นฐานสี่เหลี่ยมไว้สำหรับวางสิ่งของ เพราะแท่นฐานมีขนาดเล็กไม่สามารถรองรับจำนวนคนได้ ยกเว้นฐานสิ่งก่อสร้างซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของอาคารด้านทิศใต้ของเขตพุทธาวาส ฐานมีขนาดกว้าง ๔.๘ เมตร ยาว ๑๐.๑๐ เมตร สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอาคารโถง พื้นก่ออิฐฉาบปูน มีเสาไม้รองรับโครงหลังคาซึ่งมุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วย มีปีกนกทั้ง ๔ ด้าน
วัดตระไกร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถนของชาติไทยโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๕๙ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๖.
* นางสุนิสา มั่นคง ค้นคว้าเรียบเรียง
[๑] อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา กับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์ และเรื่องศิลปและภูมิสถานอยุธยา ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๙.
[๒] การแบ่งยุคศิลปะสมัยอยุธยา โดยมากกำหนดลักษณะสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นหลัก ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล นักโบราณคดี แบ่งเป็น ๔ ยุค ได้แก่
ยุคที่ ๑ เริ่มตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ จนถึงสิ้นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ใน พ.ศ. ๒๐๓๑
ยุคที่ ๒ เริ่มตั้งแต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จขึ้นไปเสวยราชย์ ณ เมืองพิษณุโลก พ.ศ. ๒๐๐๖
ยุคที่ ๓ เริ่มตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ยุคที่ ๔ เริ่มตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕) จนถึงเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐
[๓] กรมศิลปากร, พระราชวังและวัดโบราณในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พระนคร : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี. ๒๕๐๐). หน้า ๑๒๙ - ๑๓๓.
วิดีทัศน์