วัดกระซ้าย
วัดกระซ้าย ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา บริเวณทุ่งปากกราน ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันเป็นวัดร้างที่ยังไม่ได้มีการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานอยู่บนเนินกลางทุ่งนา สันนิษฐานว่าสมัยก่อนมีคูน้ำล้อมรอบบริเวณวัด ปัจจุบันคูน้ำได้เปลี่ยนสภาพเป็นทุ่งนาไปหมดแล้ว เมื่อถึงฤดูทำนาจะมีน้ำเจิ่งนองล้อมรอบวัดและมีความลึกพอสมควร ไม่สามารถเดินทางด้วยเท้าเข้าถึงวัดได้
วัดกระซ้าย สันนิษฐานว่าเป็นวัดที่สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ อาจจะเป็นวัดสมัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับวัดสามปลื้ม วัดสุวรรณาวาส วัดนางคำ วัดจงกลม วัดหลังคาขาว และวัดพระรามที่อยู่บริเวณทุ่งขวัญ เพราะต่างมีเจดีย์ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกัน กล่าวคือเจดีย์ทรงสูง ก่ออิฐไม่สอปูน ฐานแปดเหลี่ยม ระฆังกลม บัลลังก์แปดเหลี่ยม ข้างในกลวง มีการกล่าวถึงวัดนี้ในสมัอยุธยาตอนปลายแล้วในหนังสือ “คำให้การขุนหลวงหาวัด” เกี่ยวกับการประหารชีวิตพระศรีศิลป์ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ความว่า “มีพระราชนัดดาองค์หนึ่งเป็นโอรสของพระเชษฐา ชื่อพระศรีศิลป์กุมาร ชันษาได้ ๑๕ ปี จึ่งคิดเป็นขบถกับพระปิตุฉา จักมาสังหารชีวิตให้บรรลัย เอาพระแสงจะแทงพระนารายณ์ พระองค์จึ่งฉวยปลายกั้นหยั่งไว้ได้ทันที จึ่งจับตัวไว้ที่ทิมดาบ พระองค์ทรงแต่กำราบมิให้ตาย พระองค์สงสารกับกุมารนั้นว่า ไร้ปิตุเรศมารดา แล้วเห็นแก่พระไชยาทิตย์ด้วยรักใคร่สนิทสนมกัน เพราะเป็นเชษฐาได้ฝากพระศรีศิลป์ไว้แต่เมื่อใกล้จะสิ้นชีพพิราลัย จึ่งสั่งให้ออกจากโทษ พระองค์โปรดเลี้ยงไว้ตามที่ ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระศรีศิลป์จึ่งคิดร้ายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระนารายณ์เสด็จออกว่าราชการเมืองอยู่ที่สีหบัญชร จึ่งพระศรีศิลป์ใจหาญนั้น ถือพระแสงแล้วแฝงใบบานประตูอยู่ที่ห้องเสด็จเข้าไป ผู้ใดมิได้ล่วงรู้เห็น อันพระนารายณ์นั้นออกไปว่าราชการ จึ่งเรียกช้างพระที่นั่งเข้ามาดู พระองค์ก็เสด็จทรงช้าง แล้วเสด็จเข้ามาทางหนีง อันพระศรีศิลป์นั้นยืนแอบประตูอยู่ จนพนักงานนั้นเชิญเครื่องเข้ามา จึ่งเห็นพระศรีศิลป์ถือพระแสงและแฝงประตูอยู่ อันพนักงานเครื่องนั้นจึ่งกราบทูลตามที่เห็น พระองค์จึ่งเสด็จตรงออกมา แล้วก็จับตัวกุมารได้ทันใด จึ่งตรัสสั่งนายเพชฌฆาตให้สังหารเสียให้ตักษัย นายเพชฌฆาตจึ่งให้คุมตัวพระศรีศิลป์ไป จึ่งเอาตัวนั้นมัดผูกพัน แล้วใส่ลงใสแม่ขันสาคร แล้วจึ่งเอาใส่ลงในถุงแดง แล้วก็แห่หามไปยังวัดกระซ้าย แล้วจึ่งขุดหลุมฝังเสียทั้งเป็น…”
และเมื่อตอนใกล้จะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พม่าได้ใช้วัดกระซ้ายเป็นที่ตั้งทัพ โจมตีกรุงศรีอยุธยาด้วยปืนใหญ่ ดังความในพระราชพงศาวดาร กล่าวว่า
“อยู่มาวันหนึ่ง จึงมีพระศรีสุริยพาห ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาป้อมท้ายกบให้ประจุปืน มหากาลมฤตยูราชสองนัดสองลูกยิงค่ายพม่าวัดภูเขาทอง และยิงออกไปได้นัดหนึ่งปืนก็ร้าวราน ครั้นเพลาค่ำไทยหนีเข้ามาในกรุงได้คนหนึ่งให้การว่าปืนใหญ่ซึ่งยิงออกไปนั้น ต้องเรือรบพม่าล่มลงสองลำ คนตายเป็นหลายคน ครั้นรุ่งขึ้นเนเมียวแม่ทัพเกณฑ์ให้นายทัพนายกอง ทั้งปวงยกเจ้ามาตั้งค่าย ณ วัดกระซ้าย วัดพลับพลาชัย วัดเต่า วัดสุเรนทร์ วัดแดง ให้ปลูกหอรบขึ้นทุกๆ ค่าย เอาปืนใหญ่น้อยขึ้นระดมยิงเข้ามาในกรุง…”
จากการขุดแต่งโบราณสถานวัดกระซ้าย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๔ พบหลักฐานหลายอย่างเป็นข้อมูลว่า วัดกระซ้ายแห่งนี้แบ่งพื้นที่ออกเป็นเขตพุทธาวาสกับเขตสังฆาวาส เขตพุทธาวาสเป็นที่ตั้งของโบราณสถานต่างๆ ตามแนวทิศตะวันออก - ตะวันตก โดยมีเจดีย์ทรงระฆังกลมตั้งบนฐานปัทม์แปดเหลี่ยมเป็นประธาน ด้านหน้าเจดีย์ประธานทางทิศตะวันออกเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สันนิษฐานว่าเป็นอุโบสถ เพราะจากการขุดแต่งพบฐานเสมาและใบเสมา รอบเจดีย์ประธานพบฐานเจดีย์ราย ๔ องค์ล้อมรอบด้วยกำแพงวัด โบราณสถานต่างๆส่วนใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าประธานทางทิศตะวันออก นอกจากเขตพุทธาวาสแล้ว เนินดินทางทิศใต้ขององค์เจดีย์ประธานพบเศษภาชนะดินเผาประเภท หม้อทะนน เตาเชิงกราน ไหจากเตาแม่น้ำน้อย และแหล่งเตาบ้านบางปูน ส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน รวมทั้งเศษกระเบื้องมุงหลังคา แต่ไม่พบรูปเคารพทางศาสนา สันนิษฐานว่า เนินดินบริเวณนี้เป็นเขตสังฆาวาส
จากการขุดแต่งยังพบว่าวัดกระซ้ายมีการปรับพื้นที่ในเขพพุทธาวาสหลายครั้งด้วยกัน ในสมัยแรกมีการปรับพื้นที่โดยนำดินเหนียวท้องนามาถมปรับพื้นที่ให้สูงขึ้นจากเดิม เพื่อให้พ้นจากน้ำท่วม จากหลักฐานที่ขุดค้นพบว่าในสมัยแรกยังไม่มีการสร้างเจดีย์ประธาน และตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชน โดยเป็นพื้นที่โล่งอยู่นอกเมือง โบราณวัตถุที่พบในดินช่วงนี้มีน้อยมาก สมัยที่สองมีเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมเป็นประธาน มีวิหารอยู่ทางด้านหน้าเจดีย์ประธาน โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นคตินิยมของการสร้างวัดในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ ในสมัยนั้นเจดีย์ประธานมีทั้งที่เป็นเจดีย์ทรงกลม เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม หรือปรางค์ เช่นวัดส้มใช้ปรางค์เป็นประธาน วัดพลับพลาชัยใช้เจดีย์ทรงกลมเป็นประธาน ส่วนการใช้เจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมเป็นประธานแบบวัดกระซ้ายได้แก่วัดหัสดาวาส วัดตะไกร วัดจงกลม เป็นต้น ซึ่งวัดทั้งสามนี้ ขุดค้นขุดแต่งระบุได้ว่าสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ต่อมาในสมัยที่สามมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นและก่อสร้างสิ่งใหม่เพิ่มเติมคือ วิหารที่อยู่ด้านหน้าของเจดีย์ประธานถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอุโบสถ มีการสร้างเจดีย์รายและกำแพงแก้วรอบอุโบสถขึ้น
การเปลี่ยนวิหารให้กลายเป็นอุโบสถ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญกับอุโบสถ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในสมัยอยุธยาตอนกลาง ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นไป เช่น วัดวังชัย สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ต่อมาเมื่อถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ความสำคัญของอุโบสถยิ่งมีมากขึ้น วัดที่สร้างขึ้นในช่วงนี้จะสร้างอุโบสถเป็นประธานของวัด เช่น วัดบรมพุทธาราม ที่สร้างสมัยสมเด็จพระเพทราชา และหากเป็นวัดที่ปฏิสังขรณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว ก็มักแปลงจากวิหารที่เคยตั้งอยู่หน้าเจดีย์ประธานให้กลายเป็นอุโบสถ เช่น วัดมเหยงคณ์ ที่ปฏิสังขรณ์ในสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ พ.ศ. ๒๒๕๔
วัดกระซ้ายในช่วงนี้ได้มีการก่อพอกเฉพาะส่วนฐานของเจดีย์ประธาน แปลงจากแปดเหลี่ยมเป็นสี่เหลี่ยมเพื่อค้ำองค์เจดีย์ไม่ให้ทรุดไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ก่อกำแพงรอบโบราณสถานตั้งแต่อุโบสถ เจดีย์รายทั้งสี่องค์รวมทั้งเจดีย์ประธานและได้ขยายพื้นที่โบราณสถานไปทางทิศตะวันตก จากรูปแบบสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุทั้งจากการขุดค้นและขุดแต่ง พอจะกำหนดอายุสมัยได้ว่าอยู่ในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ลงมา
ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ แถบวัดกระซ้าย วัดเต่า วัดสุเรนทร์ เป็นที่ตั้งทัพของพม่า จากการขุดแต่งพบโบราณวัตถุประเภทอาวุธ เช่น มีด หอก ดาบ ทวน ลูกกระสุนปืนใหญ่ เป็นหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่าวัดกระซ้ายใช้เป็นที่ตั้งทัพสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ นอกจากโบราณวัตถุประเภทอาวุธแล้ว ยังพบโบราณวัตถุที่เป็นส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรม เช่น กระเบื้องมุงหลังคาแบบกาบกล้วย กระเบื้องเชิงชายเป็นลายเส้นโค้งประกอบกันเป็นรูปสามเหลี่ยม พระพิมพ์ดินเผาแบบพระแผง และโบราณวัตถุที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้
เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แล้ว วัดกระซ้ายคงเป็นวัดร้าง จากข้อมูลที่ได้จากการขุดแต่งขุดค้นประกอบกับหลักฐานทางเอกสาร แสดงให้เห็นว่า วัดกระซ้ายมีการสร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ และดำรงเป็นวัดอยู่จนเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒
อนึ่งวัดกระซ้ายแห่งนี้มีชาวบ้านแถบวัดกลางทุ่งปากกรานซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดกระซ้าย เคยเข้ามาขุดกรุที่องค์เจดีย์ได้โบราณวัตถุเป็นพระพิมพ์ดินเผา ลักษณะของพระพิมพ์เป็นดินแผ่นรูปห้าเหลี่ยมด้านไม่เท่ากัน พิมพ์เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิบรรจุอยู่ ๓ แถว แถวละ ๓ องค์ และอยู่บนสุดอีก ๑ องค์ พระพิมพ์ที่ขุดได้มี ๒ ขนาด คือ ขนาด ๑๗ x ๑๐ x ๑.๕ เซนติเมตร กับขนาด ๑๑ x ๖.๕ x ๑.๕ เซนติเมตร พระพิมพ์วัดกระซ้ายนี้ ชาวบ้านแถบนั้นมีความเคารพนับถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก
แผนที่ : การเดินทาง