วัดถนนจีน
วัดถนนจีน* เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมือง ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านชาวจีนใกล้กับคลองในไก่ คำว่า “ในไก่” นี้นักประวัติศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจาก “นายก่าย” นามของชาวจีน ซึ่งอาจจะเคยตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณนี้ นอกจากนั้นยังมีประตูในไก่เป็นประตูน้ำ ชักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านเข้ามาตามคลองในไก่ไปออกแม่น้ำป่าสัก ถัดจากประตูในไก่ไปตามลำน้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตกจะมีป้อมอกไก่ และประตูจีน ซึ่งเป็นประตูน้ำชักน้ำเข้าไปตามคลองประตูจีน (คลองข้าวเปลือก)
ในสมัยอยุธยา วัดถนนจีนน่าจะเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของชาวจีน ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ระหว่างคลองประตูจีน (คลองข้าวเปลือก) กับคลองในไก่ และเชื่อว่าคงจะเป็นหมู่บ้านใหญ่มาก พระยาโบราณราชธานินทร์ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา ว่า “ย่านบ้านแห ขายแหแลเปลป่านด้ายตะกอแลลวด มีตลาดขายของคาว ปลาสด เช้าเย็น อยู่ในบ้านแขกใหญ่ ชื่อตลาดจีน ๑… ย่านบ้านวัดน้อยประตูจีน ขายปรอท ทองเหลืองเคลือบ ๑ ย่านในไก่เชิงสะพานประตูจีนไปเชิงสะพานประตูในไก่ เป็นย่านจีนอยู่ตึกทั้งสองฟากถนนหลวง นั่งร้านขายของสรรพเครื่องสำเภา ไหม แพร ทองขาว ทองเหลือง ถ้วย โถ ชาม เครื่องสำเภาครบ …จีนทำเครื่องจันอับ แลขนม ทำโต๊ะเตียงและถังน้อยใหญ่ และทำสรรพเครื่องเหล็ก…” [๑]
นามของหมู่บ้านชาวจีนมีกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารสมัยอยุธยาหลายตอน อย่างเช่น ในช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พุทธศักราช ๒๒๖๙ เจ้าฟ้าอภัยสั่งให้ข้าราชการวังหลวงจัดแจงผู้คนกะเกณฑ์กระทำการตั้งค่ายคู ดูตรวจตราค่ายรายเรียงไปตามคลอง แต่ประตูข้าวเปลือกจนถึงประตูจีน[๒] และในช่วงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พุทธศักราช ๒๒๙๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระยาราชสุภาวดีบ้านประตูจีน เป็นเจ้าพระยาอภัยราชาว่าที่สมุหนายก[๓]
ถ้าพิจารณาตามชื่อวัด สันนิษฐานได้ว่าน่าจะตั้งอยู่ริมถนนจีน ซึ่งเป็นถนนคู่ขนานกับถนนป่าโทน แต่ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง ปัจจุบันเป็นวัดร้าง ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๘ ตอนที่ ๑๖ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ แต่ยังไม่ได้ทำการขุดแต่งบูรณะ สภาพทั่วไปของวัดถนนจีนเท่าที่ปรากฏในปัจจุบันคงมีแต่ปรางค์ ๑ องค์ อยู่ในสภาพชำรุด มีต้นไม้ปกคลุม มีเนินโบราณสถานอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนด้านทิศเหนือของโบราณสถานวัดถนนจีนนี้ มีคูน้ำเป็นแนวยาว ทางด้านทิศตะวันตกเป็นสระน้ำค่อนข้างใหญ่ และทางด้านทิศใต้เป็นบ้านอยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งใกล้กับองค์ปรางค์มากจนดูเหมือนว่าปรางค์ของวัดถนนจีนเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณบ้าน
ปรางค์ของวัดถนนจีน เป็นปรางค์ขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐ อยู่ในสภาพชำรุดมาก อิฐชั้นนอกหลุดกระเทาะออกจนเกือบหมด เห็นแต่แนวอิฐชั้นในซึ่งก่ออิฐสอดินเป็นโครงทรงสี่เหลี่ยม มีร่องรอยของซุ้มเรือนธาตุ ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ ซุ้มด้านทิศตะวันออกถูกขุดทำลายเป็นช่องกว้างใหญ่มากจนสามารถเห็นห้องกรุภายในเรือนธาตุ สังเกตได้ว่าโครงสร้างภายในของปรางค์วัดถนนจีนนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยม ทำซ้อนกันเป็นผังรูปกากบาท ช่องว่างระหว่างกากบาทใส่ดินกรุอัดแน่นเป็นการประหยัดอิฐ และช่วยเสริมให้โครงสร้างแข็งแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย
ส่วนบนของเรือนธาตุยังคงมีแนวปูนฉาบอยู่ด้านข้าง ทำให้เห็นร่องรอยลักษณะของทรงปรางค์ซึ่งน่าจะมีรูปแบบเหมือนซ้อนทรงสี่เหลี่ยมเรียงลดหลั่นกันขึ้นไป รูปแบบศิลปกรรมอย่างนี้น่าจะอายุอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑
ในบริเวณผิวดินรอบๆ วัดถนนจีนแห่งนี้ ได้พบศิลปวัตถุเป็นชิ้นส่วนของพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ อยู่ในสภาพชำรุด ซึ่งหัวหน้านครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาในขณะนั้น[๔] ได้นำไปเก็บรักษาไว้ ณ ที่ทำการของหน่วยศิลปากร เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๓ ลักษณะเป็นพระพุทธรูปนุ่งห่มดองหรือเฉวียงบ่า เห็นริ้วรอยของชายผ้าห้อยอยู่ที่พระพาหาซ้าย สายรัดประคดห้อยอยู่ที่หน้าพระอุทร ๒ สาย เป็นรูปแบบการนุ่งห่มอย่างพระพุทธรูปจีน อยู่ในท่าประทับนั่งสมาธิราบ พระหัตถ์แสดงปารมารวิชัย พบเฉพาะส่วนพระอุระลงมาถึงพระเพลา ซึ่งเป็นก้อนศิลาเรียงต่อกัน ส่วนพระเศียรหักหายไป ต่อมาได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังได้พบส่วนของพระอุระถึงบั้นพระองค์ มีลูกประคำห้อยอยู่ที่พระอุระ รูปแบบพระพุทธรูปนุ่งห่มอย่างจีนนี้ที่จัดเป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยา ยังไม่เคยได้พบมาก่อน ฉะนั้น การจะกำหนดอายุได้แน่นอนว่าเป็นพุทธศิลปะช่วงใดของสมัยอยุธยา ต้องอาศัยพิจารณาองค์ประกอบอย่างอื่นเป็นเครื่องช่วยตัดสิน ถ้าจะอาศัยการพิจารณาจากเนื้อศิลา หรือวิธีการนำศิลาท่อนมีขนาดต่างๆ กันมาต่อประสานแล้วสลักเป็นพระพุทธรูปก่อนฉาบปูนหรือลงรักปิดทองอย่างพระพุทธรูปที่พบ ณ วัดถนนจีนนี้ ในสมัยอยุธยาก็นิยมทำกันมาทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่ยุคแรกเป็นต้นมา
หากพิจารณาจากรูปทรงขององค์พระพุทธรูป ซึ่งมีรูปร่างค่อนข้างสูง นิ้วพระหัตถ์มีลักษณะเหมือนนิ้วมนุษย์ อาจสันนิษฐานได้ในเบื้องต้นว่า น่าจะอยู่ในสมัยอยุธยาตอนต้น คือ พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ เช่นเดียวกัน
วัดถนนจีนยังไม่ได้รับการขุดแต่ง จึงพบเห็นซากอิฐอยู่บนผิวดินโดยทั่วไป ซึ่งชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่า จะขุดดินเพื่อทำการเพาะปลูกก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีแต่เศษอิฐเต็มไปหมด ดังนั้นหากโบราณสถานแห่งนี้ได้รับการขุดแต่งบูรณะเมื่อใด อาจมีข้อมูลอีกมากมายเป็นหลักฐานทางโบราณคดีประวัติศาสตร์ของชาติต่อไป
* นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์ ค้นคว้าเรียบเรียง
[๑] กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๓ เรื่องกรุงเก่า (พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
คุณหญิงอุเทนเทพโกสินทร์ ๒๖ มีนาคม ๒๔๙๙). หน้า ๒๐๗
[๒] พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. พิมพ์ครั้งที่ ๖. พระนคร, ห้างหุ้นส่วนศิวพร, ๒๕๑๑. หน้า ๕๔๘
[๓] เรื่องเดิม. หน้า ๕๖๗.
[๔] นายปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์ ปัจจุบันหน่วยงานแห่งนี้ใช้ชื่อว่า สำนักงานศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา