ชื่ออุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

วัดใหม่ไชยวิชิต


           

           1. ที่ตั้งวัดใหม่ไชยวิชิตในสมัยอยุธยา เป็นส่วนหนึ่งของประราชวังหลวง

          วัดใหม่ไชยวิชิตตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาริมแม่น้ำลพบุรี  ปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองตำบลท่าวาสุกรี  อำเภอพระนครศรีอยุธยา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา    บริเวณที่วัดใหม่ไชยวิชิตตั้งอยู่นั้นเดิมในสมัยอยุธยา  เป็นพื้นที่ชานพระนคร  กล่าวคือ  เป็นพื้นที่ระหว่างพระราชวังหลวงกับแม่น้ำลพบุรี  จะมีแนวถนนโบราณปูด้วยอิฐ  ชื่อว่า  " ถนนประตูดิน "  ซึ่งมีแนวจากป้อมปากท่อขนานไปกับกำแพงพระราชวังมาชนฉนวนน้ำท่าวาสุกรีซึ่งเป็นท่าเรือที่ประทับประจำพระราชวังหลวง1  ดังนั้นการสร้างวัดใหม่ไชยวิชิตจึงสร้างทับบนแนวถนนโบราณ  และแนวกำแพงวัดบางส่วนได้สร้างทับกำแพงพระราชวังหลวง    "ไชยวิชิต" เป็นราชทินนามของตำแหน่งผู้รักษากรุงเก่าในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

       2. "ไชยวิชิต" เป็นราชทินนามของผู้รักษากรุงเก่าในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  โดยเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปราบดาภิเษกเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว  ทรงยกเมืองกรุงเก่าขึ้นเป็นหัวเมืองจัตวา  ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง  นายบุนนากแห่งบ้านแม่ลาเป็นผู้รักษากรุงเก่าคนแรก  มีบรรดาศักดิ์ถึง  "เจ้าพระยา"  และมีราชทินนามว่า  "ไชยวิชิตสิทธิสงคราม"  ต่อมาโปรดให้เจ้าพระยาไชยวิชิตเป็นเจ้าพระยาพลเทพ  ไปราชการทัพเมืองปัตตานีภายหลังต้องพระราชอาญาประหารชีวิตในรัชกาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  เนื่องจากถูกซัดทอดว่าร่วมคิดการกบฏกับเจ้าฟ้ากรมกษัตรานุชิต  ต่อจากนี้ก็ไม่ปรากฏว่าได้แต่งตั้งใครเป็นผู้รักษากรุงในราชทินนามนี้อีก    ตำแหน่งผู้รักษากรุงเก่าต่อมาก็ลดบรรดาศักดิ์เป็นเพียง  "พระยา"  เท่านั้น  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  โปรดเกล้าฯ  ให้เปลี่ยนสร้อยราชทินนามนี้เป็น  "พระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรามหาประเทศราชสุรชาติเสนาบดี"  ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนแรกชื่อ  "เผือก"  ครั้นมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  โปรดเกล้าฯ  เปลี่ยนนามผู้รักษากรุงเก่าเป็นพิเศษ  2  ชื่อ  คือ  เจ้าพระยามหาศิริธรรมพโลปถัมภ์เทพทวาราวดี  ศรีรัตนธาดา  มหาปเทศาธิบดี  อภัยพิริยปรานุกรมพาหุ  ผู้สำเร็จราชการกรุงเก่ากับอีกนามหนึ่งคือพระยาสิงหราชฤทธิไกร  ยุตินัยเนติธาดามหาปเทศาธิบดี  อภัยพิริยปรากรมพาหุ

            ผู้รักษากรุงเก่าคนต่อมาก็ได้กลับมาใช้บรรดาศักดิ์และราชทินนาม  พระยาไชยวิชิตดังเดิม  แต่สร้อยราชทินนามได้เปลี่ยนไปกล่าวคือในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงแต่งตั้งผู้รักษากรุงเก่าตามลำดับคือ  พระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรามหาปเทศาธิบดี  (สิงโต  ศกุนะสิงห์)  พระยาไชยวิชิตสิทธิศักดามหานคราธิการการ  (นาค  ณ  ป้อมเพชร)  และต่อมาในพ.ศ.  2440  พระยาไชยวิชิต  (นาค)  กราบถวายบังคมลาออกจากหน้าที่ราชการด้วยทุพลภาพจึงโปรดเกล้าฯให้หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์  (พร  เดชะคุปต์)  เป็นผู้รักษากรุงเก่า  จนต่อมาโปรดเกล้าฯ  พระราชทานสัญญาบัตรเป็น  "พระยาโบราณบุรานุรักษ์"  จนปี  พ.ศ.  2449  จึงโปรดเกล้าฯ  ให้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า5  จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  โปรดเกล้าฯ  ให้เปลี่ยนราชทินนามเป็น  "พระยาโบราณราชธานินทร์"  หลังจากนั้นตำแหน่งผู้รักษากรุงเก่ายังคงมีสืบมา  หากแต่ราชทินนามและบรรดาศักดิ์ได้รับการปรับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น  อย่างไรก็ตามใน  พ.ศ.  2467  ยังปรากฏว่าทรงพระราชทานราชทินนาม  "ไชยวิชิต"  แก่พระยาเพชฎา  (ขำ  ณ  ป้อมเพชร)  เป็น  "พระยาไชยวิชิตวิศิษฐธรรมธาดา"  แต่สร้อยราชทินนามเปลี่ยนไป  และครั้งนี้ไม่ใช่ตำแหน่งผู้รักษากรุงเก่าแต่เป็นตำแหน่งในกระทรวงยุติธรรม

 

 

               3. พระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรามหาประเทศราชสุรชาติเสนาบดี ( เผือก )

              ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพระยาไชยวิชิต  ( เผือก ) มากนักทราบแต่เพียงว่าในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  ท่านมีตำแหน่งเป็นจมื่นไวยวรนาถ  หัวหน้ามหาดเล็ก  และเป็นกวีในราชสำนักร่วมกับสุนทรภู่ด้วยต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น  พระยาธิเบศร์บดี  จางวางมหาดเล็ก  และได้เป็น  "พระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรามหาประเทศราชสุรชาติเสนาบดี"  ผู้สำเร็จราชการกรุงเก่า8  ซึ่งประวัติส่วนหนึ่งของพระยาไชยวิชิต  ( เผือก )  นั้นสุนทรซึ่งประวัติส่วนหนึ่งของพระยาไชยวิชิต  ( เผือก )  นั้นสุนทรภู่ได้เขียนถึงไว้ในนิราศภูเขาทอง  ตอนหนึ่งว่า

"ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง

คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล

เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย

แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง

เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ

เคยรับราชโองการอ่านฉลอง

จนกฐินสิ้นแม่น้ำในลำคลอง

มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา"

               จมื่นไวยคนที่สุนทรภู่กล่าวถึงนั้นเป็นคนเดียวกับพระยาไชยวิชิต  ( เผือก )  ซึ่งเป็นผู้รักษากรุงเก่าขณะที่สุนทรภู่เขียนนิราศภูเขาทอง  เพราะว่าเมื่อสุนทรภู่เดินทางมาถึงกรุงเก่า  ขณะผ่านพระราชวังหลวง  ยังได้เขียนถึง  พระยาไชยวิชิต ( เผือก )  อีกครั้งหนึ่งว่า

     "พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน

ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจ

มาถึงท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง

คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล

       จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย

ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน

   แต่ยามยากหากว่าหาท่านแปลก

   อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล

   เหมือนเข็ญใจไฝ่สูงไม่สมควร

    จะต้องม้วนหน้ากลับอัประมาณ"

             4. จวนของพระยาไชยวิชิต ( เผือก )  สร้างอยู่ด้านทิศเหนือของพระราชวังหลวง

             สุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทองเมื่อราว  พ.ศ.  2371   ซึ่งหากพิจารณาจากเนื้อความในนิราศดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่าในเวลานั้น  จวนพระยาไชยวิชิต  ( เผือก )  ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรี  ด้านทิศเหนือของพระราชวังหลวง  คือตำแหน่งที่ตั้งของวัดใหม่ไชยวิชิตในปัจจุบัน  เพราะหลังจากสุนทรภู่กล่าวถึงจวนพระยาไชยวิชิตแล้ว  ก็ไม่ได้แวะขึ้นหา  แต่ได้ล่องเรือเลยขึ้นมาจอดที่ท่าวัดหน้าพระเมรุ  ปากคลองสระบัว  จนถึง  พ.ศ.  2379  อันเป็นปีที่สุนทรภู่แต่งนิราศวัดเจ้าฟ้านั้น  พระยาไชยวิชิต  ( เผือก )  ยังคงมีชีวิตอยู่  และจวนของท่านก็น่าจะอยู่ที่เดิม  ปรากฏว่าครั้งนี้สุนทรภู่ได้แวะหาพระยาไชยวิชิต  ดังที่ท่านประพันธ์ไว้ว่า

 "จะเลยตรงลงไปวัดก็ขัดข้อง

    ไม่มีของขบฉันจังหันหุง

    ไปพึ่งบุญคุณพระยารักษากรุง

    ท่านบำรุงรักษาพระไม่ละเมิน

    ทั้งเพลเช้าคาวหวานสำราญรื่น

    ต่างชุ่มชื่นชวนกันสรรเสริญ

    ทั้งสูงศักดิ์รักใคร่ให้เจริญ

    อายุเกินกัปกัลป์พุทธนดร

    ให้ครองกรุงฟุ้งเฟื่องเปรื่องปรากฎ

    เกียรติยศอยู่ตลอดอย่าถอดถอน

    ท่านอารีมีใจอาลัยวอน

 ถึงจากจรจิตใจยังคิดคุณ

 มาที่ไรได้นิมนต์ปรนนิบัติ

 สารพัดแผ่เผื่อช่วยเกื้อหนุน

 ต่างชื่นช่วยอวยกุศลผลบุญ

    สนองคุณเจ้าพระยารักษากรุง"

               พระยาไชยวิชิต  ( เผือก )  ถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่  3  และคงจะเป็นปลายรัชกาล  แต่ยังไม่พบหลักฐานว่าเมื่อใดแน่  อย่างไรก็ตาม  ในปี  พ.ศ.  2381  พระยาไชยวิชิต  (เผือก)  ยังมีชีวิตอยู่เพราะในปีนี้ท่านได้วิหารน้อย ( พระวิหารสรรเพชญ์ หรือ วิหารเขียน )  ที่วัดหน้าพระเมรุ  เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาประทับนั่งห้อยพระบาทสมัยทวารวดี  ซึ่งพระยาไชยวิชิตให้ย้ายมาจากวัดมหาธาตุ (เนื้อความในจารึกแผ่นที่  3  ประดิษฐานอยู่ในวิหารน้อย  วัดหน้าพระเมรุ )  อย่างไรก็ตามพระยาไชยวิชิต ( เผือก )  จะต้องถึงอนิจกรรมก่อน  พ.ศ.  2394  เนื่องจากเป็นปีสุดท้ายในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ดังนั้นปีที่พระยาไชยวิชิต  ( เผือก )  ถึงแก่อนิจกรรม  น่าจะอยู่ระหว่าง  พ.ศ. 2381 - 2394

               5. สร้างวัดใหม่ไชยวิชิต ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

               สำหรับวัดใหม่ไชยวิชิตนั้นทราบแต่เพียงว่าสร้างในรัชการที่  3  ยังไม่พบหลักฐานว่าสร้างในศักราชใด  แต่วัดนี้ตั้งอยู่ในบริเวณ  ที่เคยเป็นจวนของพระยาไชยวิชิต  (เผือก)  สันนิษฐานว่าในตอนปลายรัชกาลที่  3  พระยาไชยวิชิตอาจจะย้ายจวนไปไปสร้างที่อื่น  แล้วยกที่จวนเดิมสร้างเป็นวัด  หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าภายหลังอนิจกรรมของพระยาไชยวิชิต  (เผือก)  แล้วบรรดาญาติพี่น้องได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระยาไชยวิชิต  (เผือก)  ก็ได้สันนิษฐานว่าระยะเวลาก่อสร้างวัดใหม่ไชยวิชิตอาจจะอยู่ระหว่าง  พ.ศ. 2381 - 2394  ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สันนิษฐานว่าพระยาไชยวิชิต  (เผือก)  ถึงแก่อนิจกรรมอย่างไรก็ตามการตั้งชื่อวัดนี้ว่า  "วัดใหม่ไชยวิชิต"  ย่อมบ่งบอกว่าเป็นวัดสร้างใหม่  และเกี่ยวข้องกับพระยาไชยวิชิตอย่างแน่นอน

               อนึ่งตำแหน่งวัดใหม่ไชยวิชิตปรากฎในแผนที่โบราณแสดงที่ตั้งพระนครศรีอยุธยา  ซึ่งเชื่อกันว่าเขียนขึ้นราว ๆ  รัชกาลที่  3  โดยใช้ชื่อว่า  "วัดใหม่"  เช่นเดียวกัน

               6. สิ่งสำคัญของวัดไชยวิชิตคือพระอุโบสถและเจดีย์

               วัดใหม่ไชยวิชิตสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  พระอุโบสถเป็นประธานของวัดและเจดีย์  1  องค์สร้างไว้ด้านหน้า  โดยมีกำแพงแก้วล้อมรอบ  ซึ่งมีประตูทางเข้า - ออก  3  ประตู  คือด้านทิศเหนือ  ทิศใต้  และตะวันตก      

               7. พระอุโบสถวัดใหม่ไชยวิชิตสร้างแบบพระราชนิยมรัชกาลที่ 3

             ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระอุโบสถวัดใหม่ไชยวิชิต  เป็นแบบพระราชนิยมรัชกาลที่  3  กล่าวคือ  เป็นสถาปัตยกรรมที่มีอิทธิพลศิลปะจีน  หรือบางครั้งเรียกกันว่าทรงแบบจีน  พระอุโบสถตั้งอยู่บนฐานยกระดับ  มีระเบียงรอบตัวพระอุโบสถ  มีเสาพาไลสี่เหลี่ยมใหญ่รองรับชายคาโดยรอบโดยไม่มีทวยมารับที่ปลายเต้า  ลักษณะหน้าจั่วทำแบบเรียบง่าย  ก่อปูนทึบ  ไม่มีไขราหน้าจั่ว  และไม่ทำเครื่องลำยองหลังคามุงกระเบื้องเรียบ

               ตัวพระอุโบสถยาว  5  ห้องเจาะช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมประจำทุกห้อง  ประตูทางเข้าอยู่ที่ผนังหุ้มกล่องด้านละ  2  ประตู  และที่กรอบประตู  หน้าต่างนั้นประดับลวดลายปูนปั้นประเภทลายดอกไม้และเครือเถาประดับกระจกสีเขียว  และขาว

               บานประตูหน้าต่างทำด้วยไม้  เขียนลายรดน้ำรูปเทพพนมทุกบาน  ซึ่งงานที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นผีมือของ  อ.สุนทรพิทักษ์เขียนขึ้นระหว่างเดือนมกราคม  ถึงมีนาคม  พ.ศ.  2500

              สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการก่อสร้างในรัชกลที่  3  คือนิยมทำงานปูนปั้นประดับไวที่หน้าบัน  และมักประดับด้วยเครื่องถ้วยหรือชิ้นส่วนของเครื่องถ้วย  ซึ่งเคยมีอยู่ที่หน้าบันพระอุโบสถวัดใหม่ไชยวิชิตด้วยทั้งนี้ดูได้จากภาพถ่ายเก่า  ครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวงสังเวยสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า  ณ  พลับพลาตรีมุขในพระราชวังโบราณ  เมื่อวันที่  5  พฤศจิกายน  พ.ศ.  2496  ซึ่งขณะนั้นโครงหลังคาของพระอุโบสถได้หักพังลงแล้ว  แต่ยังเห็นว่าที่หน้าบันยังเห็นร่องรอยของงานปูนปั้นประดับอยู่  แต่ภายหลังเมื่อมีการปฏิสังขรณ์ใหม่แล้วไม่ได้รักษางานปูนปั้นนั้นไว้

              อย่างไรก็ตามการก่อสร้างพระอุโบสถวัดใหม่ไชยวิชิตได้ก่อสร้างตามแบบที่นิยมในสมัยรัชกาลที่  3  ซึ่งสามารถเทียบได้กับพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม  ซึ่งรัชกาลที่  3  ทรงสร้างพระราชทานพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ10 

              8. เจดีย์วัดใหม่ไชยวิชิต เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสองที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

             เจดีย์วัดใหม่ไชยวิชิตสร้างไว้ทางด้านหน้าของพระอุโบสถ  เป็นเจดีย์แบบย่อมุมไม้สิบสอง  สร้างอยู่บนฐานยกระดับซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป  จำนวน  4  ชั้น  โดยบันไดทางขึ้นอยู่ทางด้านทิศเหนือ   ฐานยกระดับชั้นล่างสุดเป็นฐานกลม  ต่อด้วยฐานสี่เหลี่ยม  อีก  3  ชั้น  จนถึงลานชั้นบนสุด  คือที่ตั้งขององค์เจดีย์  เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง  คือเจดีย์ที่มีทรงระฆังสี่เหลี่ยมย่อมุมนับรวมกันได้สิบสองมุมเป็นส่วนสำคัญ11  องค์เจดีย์ส่วนล่างทำเป็นฐานสิงห์ซ้อนกัน  3  ฐาน  รองรับทรงระฆัง  ต่อด้วยบัลลังก์  ปล้องไฉน  และปลีซึ่งหักพังไปแล้ว

              ลักษณะสำคัญของเจดีย์แบบนี้คือชุดฐานสิงห์  ซ้อนกัน  3 ฐาน  ยัวคลุ่มที่รองรับทรงระฆัง  และปล้องไฉนซึ่งทำเป็นบัวคลุ่มเถา  มีวิวัฒนาการมายาวนานในศิลปอยุธยา  นับตั้งแต่ราวกลางพุทธศตวรรษที่  22  เป็นต้นมาและเป็นแรงบันดาลใจอย่างสำคัญต่อการสร้างเจดีย์แบบย่อมุมในสมัยรัตนโกสินทร์12  ดังเช่นเจดีย์บางองค์ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  และวัดพระเชตุพน  เป็นต้น

               9. จอมพล ป.  พิบูลสงคราม  ซ่อมโบสถ์วัดใหม่ไชยวิชิต

               การสร้างวัดใหม่ไชยวิชิตในรัชกาลที่  3  นั้นมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ด้วย  เพราะปรากฎซากอาคารก่ออิฐที่สันนิษฐานว่า  เป็นกุฏิสงฆ์สร้างอยู่ทางทิศเหนือของพระอุโบสถ  มาในรัชกาลที่  4  วัดใหม่ไชยวิชิตเป็นวัดหนึ่งที่ปรากฎในบัญชีรายชื่อวัดในกรุงเก่าที่พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จทอดกฐิน13  แต่ไม่ทราบว่าวัดใหม่ไชยวิชิตเป็นวัดร้างมาตั้งแต่เมื่อใดแม้แต่ในสมัยรัชกาลที่  5  ซึ่งได้มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับบริเวณนี้อย่างมาก  ทั้งการขุดแต่งในพระราชวังหลวง  การจัดพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก  แต่ก็มีเอกสารกล่าวถึงวัดนี้อย่างจำกัด

               ต่อมามีหลักฐานในภาพถ่ายเก่า  คราวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวงสังเวยสมเด็จพระบูรพมหากัษตราธิราชเจ้า  ณ  พลับพลาตรีมุขในพระราชวังโบราณ  เมื่อวันที่  5  พฤศจิกายน  พ.ศ.  2469  ว่าองค์เจดีย์วัดใหม่ไชยวิชิตยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์  ส่วนพระอุโบสถนั้นเครื่องบนหักพังลงมาแล้วในระยะนี้วัดใหม่ไชยวิชิตเป็นวัดร้าง

               ในปี  พ.ศ.  2499  พณฯ  จอมพล  ป.  พิบูลสงคราม  นายกรัฐมนตรีขณะนั้น  ได้ริเริ่มการฟื้นฟูบูรณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  เพื่อให้สมกัลบที่เคยเป็นราชธานีอันรุ่งโรจน์มาแต่ก่อน  และคณะรัฐมนครีได้มีมติตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินงานดังกล่าวเมื่อวันที่  4  กรกฎาคม  2499  ดังนั้นโบราณสถาน  และสาธารณูปโภค  สาธารณูปการต่าง ๆ  ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  จึงได้รับการบูรณะฟื้นฟูอย่างมาก

              พระอุโบสถวัดใหม่ไชยวิชิตซึ่งเครื่องบนได้ชำรุดหักพังได้รับการปฏิสังขรณ์  มีการก่อสร้างกุฏิสงฆ์ขึ้นใหม่  แล้วนิมนต์พระสงฆ์เข้ามาจำพรรษา  เพื่อจะได้บำรุงพระอารามสืบไป14 

              การบูรณะในครั้งนี้เครื่องบนคงจะปฏิสังขรณ์ตามแบบเดิม  ส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ  ไม่ได้ซ่อมงานปูนปั้นที่หน้าบัน  ตามหลักฐานที่ปรากฎในภาพถ่ายเก่า  ครั้ง  พ.ศ.  2496  ส่วนบานประตู  หน้าต่างนั้นเขียนลายรดน้ำเป็นรูปเทพพนมใหม่ทั้งหมด  ช่างผู้เขียนในครั้งนี้คือ  อ.สุนทรพิทักษ์  โดยท่านได้เขียนระหว่างเดือนมกราคม  ถึงมีนาคม  พ.ศ.  2500  และจารึกชื่อไว้ที่บานประตูหน้าต่างทุกบาน

              ที่ฝ้าเพดานมีภาพจิตรกรรมเขียนเป็นลายพื้น  คือลายรูปหงส์อยู่ภายในวงกลมแวดล้อมด้วยลายดอกไม้ร่วง  และสัตว์ปีก  เช่น  นกและค้างคาว  เป็นต้น  งานจิตรกรรมดังกล่าวเป็นงานครั้ง  พ.ศ.  2500  เช่นเดียวกัน

              นอกจากนี้แนวกำแพงของวัดซึ่งเคยล้อมรอบเจดีย์และอุโบสถเข้าด้วยกันโดยมีทางเข้าทั้ง  4  ด้าน  ก็ถูกแก้ไข  โดยก่อแนวใหม่ให้ล้อมเพียงอุโบสถเท่านั้น  แนวกำแพงที่ก่อใหม่ด้านทิศตะวันออกจึงค่อนข้างเบียดกับฐานเจดีย์  จึงไม่มีประตูทางเข้าที่ด้านนี้

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม วัดใหม่ไชยวิชิตสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก  พระอุโบสถเป็นประธานของวัดและเจดีย์  1  องค์สร้างไว้ด้านหน้า  โดยมีกำแพงแก้วล้อมรอบ  ซึ่งมีประตูทางเข้า - ออก  3  ประตู  คือด้านทิศเหนือ  ทิศใต้  และตะวันตก