วัดญาณเสน
วัดญาณเสน เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะเมืองใกล้กับช่องมหาเถรไม้แช ซึ่งเป็นทางน้ำ ชักน้ำจากแม่น้ำลพบุรีเข้าไปยังบึงพระราม ทางน้ำนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คลองน้ำเชี่ยว บริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่อยู่ของชนชาวมอญ วัดญาณเสนไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง ปัจจุบันตั้งอยู่ริมถนนอู่ทอง เขตตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และยังเป็นวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่จนถึงปัจจุบัน สำนักโบราณคดี กรมศิลปากรได้กำหนดให้วัดญาณเสนเป็นแหล่งโบราณสถานของชาติ ในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา และได้ประกาศขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๑๖ วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๔๘๔
ปรากฏหลักฐานตามตำนานว่า เดิมวัดญาณเสนนี้ชื่อว่า วัดยานุเสน ในสมัยอยุธยา มีตึกพระคลังสำหรับใส่บาศช้างและเชือกอยู่ที่ริมวัดแห่งนี้ และว่า “มีรางอยู่ถัดหน้าวัดญาณเสนไปรางหนึ่ง ทะลุเข้าไปจากรากกำแพงด้านเหนือ ชาวบ้านเรียกว่า คลองน้ำเชี่ยว ว่าแต่ก่อนเมื่อถึงหน้าน้ำ น้ำไหลเข้าทางรางนั้นเชี่ยวจัด ไปลงบึงพระราม เห็นว่าน่าจะเป็นรางนี้เองที่เรียกว่าช่องมหาเถรไม้แช่ คือ เป็นที่ไขเอาน้ำทางแม่น้ำข้างเหนือเข้าไปในบึงพระราม เดิมคงจะมีช่องให้น้ำลอดใต้รากกำแพงเข้าไป และมีช่องให้น้ำไหลลอดถนนป่าตะกั่วไปตกคลองข้างในไหลลงบึงพระราม ข้างด้านใต้บึงพระรามก็มีคลองลงไปออกประตูเทพหมี ออกแม่น้ำใหญ่ทางใต้ได้เหมือนกัน นี้คือวิธีถ่ายน้ำไปในบึงพระรามให้สะอาด ในแผนที่ของพวกฝรั่งเศสเขาเขียนเป็นคลองต่อพ้นแนวถนนป่าตะกั่วออกไป ตั้งแต่ข้างถนนจนกำแพงเมืองเป็นพื้นทึบ คงก่อช่องมุดลอดไป รางปากช่องคงเกิดขึ้นภายหลังเมื่อรื้อกำแพง แต่เดี๋ยวนี้ได้ถมเสียเป็นพื้นดินเชื่อมกับถนนแล้ว”
วัดญาณเสนมีสถาปัตยกรรมที่จัดเป็นโบราณสถาน คือ เจดีย์และอุโบสถ โดยเฉพาะเจดีย์ กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งและบูรณะแล้วตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๘๗ และในการขุดแต่งครั้งนั้น ได้พบโบราณวัตถุและศิลปวัตถุหลายชิ้น ที่สำคัญคือแผ่นทองคำรูปสัตว์ต่างๆ จัดเป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยา รวมทั้งพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ซึ่งพบทั้งที่เป็นของสมัยลพบุรีและสมัยอยุธยา ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๔๔ กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งโบราณสถานแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากอยู่ในสภาพรกร้างมีดินและวัชพืชปกคลุมอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก ในครั้งนี้พบโบราณวัตถุและศิลปวัตถุหลายประเภท อาทิ รูปเคารพทางศาสนา เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธ ภาชนะดินเผา เป็นต้น และพบว่ามีการก่อสร้างเพิ่มเติมและพอกทับโดยการปรับเปลี่ยนรูปแบบเจดีย์ประธานและก่อสร้างเจดีย์รายเพิ่มเติมอีกด้วย
โบราณสถานที่สำคัญ
เจดีย์ประธาน เป็นเจดีย์ก่อด้วยอิฐ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองที่ด้านทั้งสี่ออกเก็จรับมุขทิศทั้งสี่ ฐานเจดีย์เป็นฐานประทักษิณ ลักษณะเป็นฐานสี่เหลี่ยมไม่ย่อมุม มีความกว้างด้านละประมาณ ๒๔ เมตร ทำเป็นชุดฐานบัวลูกแก้วอกไก่คู่ โดยฐานหน้ากระดานล่างแผ่ยื่นออกมาจากชั้นบัวคว่ำประมาณ ๑ เมตร ความสูงตั้งแต่ฐานถึงยอดเจดีย์ประมาณ ๓๔.๕ เมตร ฐานเจดีย์พังทลายลงเป็นบางช่วง บริเวณมุมบนฐานประทักษิณ มีการประดิษฐานเจดีย์มุมโดยตั้งอยู่บนมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือพังทลายลงหมดไม่เหลือสภาพให้เห็น
มีบันไดทางขึ้นอยู่ทางด้านทิศตะวันออกขึ้นสู่ลานประทักษิณและห้องมุข ภายในมุขทำเป็นช่องทางเดินเข้าสู่ครรภคูหา (ห้องภายในองค์เจดีย์) ครรภคูหามีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด ๒.๘๐ x ๒.๗๒ เมตร ด้านบนก่ออิฐเป็นลักษณะสามเหลี่ยมสอบขึ้นไป พื้นกลางห้องมีช่องสี่เหลี่ยม ขนาด ๕๐ x ๕๕ เซนติเมตรลึกลงไป ผนังของห้อง ๓ ด้าน ได้แก่ด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ มีช่องรูปเครื่องหมายบวกด้านละ ๑ ช่อง
ส่วนซุ้มในด้านตะวันตก ด้านเหนือและด้านใต้มีลักษณะเหมือนกัน คือภายในกรอบก่อทึบ สันนิษฐานว่าเดิมน่าจะมีการประดับด้วยปูนปั้น
ถัดขึ้นไปจากชุดฐานบัวชุดบนสุดเป็นส่วนขององค์ระฆังย่อมุม บัลลังก์ย่อมุม ก้านฉัตรไม่มีเสาหาน แต่กลับทำทรงบัวหงายซ้อนด้วยบัวคว่ำที่ยื่นออกจากก้านฉัตรเพื่อรองรับปล้องไฉน ลักษณะเช่นนี้เป็นรูปแบบที่แตกต่างจากเจดีย์อื่นโดยทั่วไป ส่วนยอดของปล้องไฉนยังคงปรากฏเหล็กเป็นแกนอยู่ด้านใน
นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ราย ตั้งอยู่โดยรอบเจดีย์ประธานอีกจำนวน ๕ องค์ ทางทิศตะวันออก ๔ องค์ และทิศตะวันตกอีก ๑ องค์ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพพังทลาย คงเหลือเพียงองค์เดียวที่ยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์และเห็นรูปแบบสถาปัตยกรรมชัดเจน และยังพบแนวกำแพงวัดทางทิศใต้ ส่วนบนพังทลายลงแทบทั้งหมด
อุโบสถ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเจดีย์ประธาน แต่อุโบสถหลังเดิมได้ชำรุดปรักหักพังไปหมดแล้ว ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๘๗ ทางวัดสร้างขึ้นใหม่บนฐานรากเดิม โครงร่างตอนล่างของอุโบสถจึงยังคงมีเค้าของศิลปกรรมสมัยอยุธยาให้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะรูปทรงฐานอุโบสถยังคงทำให้มีลักษณะโค้งแบบท้องสำเภา รวมทั้งผนังทำเป็นลูกกรงช่องแสงแทนช่องหน้าต่าง ซึ่งเป็นลักษณะการเลียนแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่สมัยรัตนโกสินทร์ เหนือช่องแสงมีซุ้มพระทำเป็นซุ้มสามเหลี่ยมลึกเข้าไปในผนัง ในซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กปางต่างๆ แต่มีไม่ครบทุกซุ้ม
นอกจากส่วนโบราณสถานที่กล่าวแล้ว วัดญาณเสนยังประกอบด้วยเสนาสนะ กุฎิสงฆ์ เป็นสัดส่วนอยู่อีกด้านหนึ่งด้วย