โบราณสถานวัดอ่างศิลา
วัดอ่างศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีการสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย แต่เดิมแบ่งออกเป็น ๒ วัด ได้แก่ วัดอ่างศิลาในและวัดอ่างศิลานอก วิหารหลังนี้เดิมเคยเป็นอุโบสถของวัดอ่างศิลาในมาก่อน แต่ทั้งสองวัดได้รวมกันเป็นวัดเดียวในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ โดยได้ใช้อุโบสถของวัดอ่างศิลานอกหรืออุโบสถหลังปัจจุบันในการทำสังฆกรรม ส่วนอุโบสถวัดอ่างศิลาใน ถูกรื้อถอนเขตพัทธสีมาและใช้งานเป็นวิหารมานับแต่นั้น
ผังบริเวณวัดอ่างศิลา แสดงตำแหน่งวิหาร
ภาพถ่ายทางอากาศวัดอ่างศิลา
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี ดำเนินการบูรณะวิหารวัดอ่างศิลาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ - ๒๕๖๒ ก่อนการดำเนินงานโบราณสถานประกอบไปด้วยวิหารที่มีเจดีย์ ๓ องค์ ตั้งอยู่ทางด้านหน้า การดำเนินงานโบราณคดีทำให้ทราบพัฒนาการการก่อสร้างโบราณสถานในแต่ละช่วงเวลา ดังนี้
วิหารก่อนการบูรณะ
เจดีย์ด้านหน้าวิหารก่อนการบูรณะ
ระยะที่ ๑ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย วัดอ่างศิลาในประกอบไปอุโบสถและเจดีย์ที่มีการประดับลิงแบก ยักษ์และครุฑยุดนาค มีกำแพงแก้วล้อมรอบเจดีย์ ที่ด้านในของกำแพงแก้วมีช่องสำหรับประดับผางประทีปทำจากเครื่องถ้วยจีน
เจดีย์ระหว่างการขุดแต่งทางโบราณคดี
ระยะที่ ๒ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ชุมชนบริเวณวัดอ่างศิลาน่าจะมีการขยายตัวขึ้น มีการก่อสร้าง สิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม ทำให้อาณาเขตของวัดใหญ่ขึ้น ได้แก่ อุโบสถหลังปัจจุบันที่สร้างบนฐานอุโบสถหลังเดิม ภายในอุโบสถเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพอดีตพุทธและเทพชุมนุม เจดีย์ขนาบทั้ง ๒ ข้างของเจดีย์ องค์กลางและด้านหลังอุโบสถ กำแพงแก้วและกำแพงที่แบ่งพื้นที่ระหว่างอุโบสถกับเจดีย์ ด้านบนของกำแพงแก้วประดับเจดีย์รายขนาดเล็ก พื้นที่ภายในกำแพงแก้วถูกยกระดับขึ้นทำให้ฐานเจดีย์ส่วนที่ประดับลิงแบก ยักษ์และกำแพงแก้วล้อมรอบเจดีย์ถูกดินถมทับ ต่อมาเมื่อมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่การใช้งานของอุโบสถมาเป็นวิหาร ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ ทำให้อาคารถูกลดความสำคัญลง จึงสันนิษฐานว่าเจดีย์ด้านหลังวิหาร กำแพงแก้วและซุ้มใบเสมาน่าจะพังทลายลงหลังจากนี้
ภาพถ่ายเก่าวิหารและเจดีย์ ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๕
ที่มา: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
ภาพถ่ายเก่าหลังจากที่กำแพงแก้วพังทลายไปแล้ว
ที่มา: วัดอ่างศิลา
ผังบริเวณวิหารหลังการบูรณะ
โบราณสถานวัดอ่างศิลาได้รับการขึ้นทะเบียน ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๖ ตอนพิเศษ ๑๗ ง วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๒